ลักษณะผลิตภัณฑ์
กระจกฮีทสเตรงค์เท่น(Heat-strengthened Glass) ผลิตด้วยกระบวนการเดียวกับกระจกเทมเปอร์ ใช้ความร้อนเท่ากัน แต่จะทำให้เย็นจะทำแบบช้าๆ เพื่อให้ความเครียดในเนื้อกระจกและผิวกระจกน้อยกว่าความเครียดในเนื้อและผิวกระจกเทมเปอร์ จึงมีความแข็งแรง และการทนการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิน้อยกว่ากระจกเทมเปอร์ แต่กระจกฮีทสเตรงค์เท่นไม่มีข้อด้อยในเรื่องการแตกด้วยตัวเองเช่นเดียวกับกระจกเทมเปอร์ เพราะความเครียดที่เกิดในกระจกน้อยกว่ามาก และการแตกจะไม่เป็นเม็ด แต่จะแตกเป็นชิ้นใหญ่ รอยแตกจะวิ่งเข้าหาขอบกระจก และไม่มีรอยร้าวในเนื้อกระจกจำนวนมาก
เนื่องด้วยกระจกฮีทสเตรงค์เท่นสามารถทนแรงกดและแรงอัดได้ แม้จะน้อยกว่าการทนของกระจกเทมเปอร์ แต่ก็เพียงพอต่อการใช้อุปกรณ์จับยึดต่างๆ
ชนิดของกระจกที่สามารถผลิตเป็นกระจกฮีทสเตรงค์เท่นได้ เหมือนกับชนิดกระจกที่สามารถผลิตเป็นกระจกเทมเปอร์
1. กระจกฮีทสเตรงค์เท่นมีความแข็งแรงกว่ากระจกโฟลท 2 เท่า ทำให้สามารถรับแรงกระแทก แรงกด แรงบีบ ได้ดี
2. กระจกฮีทสเตรงค์เท่นทนความร้อนได้สูงถึง 290 ºC โดยกระจกไม่แตก
3. กระจกฮีทสเตรงค์เท่นทนการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอย่างฉับพลันได้ถึง 100 ºC
4. กระจกฮีทสเตรงค์เท่นเมื่อกระจกแตก รอยร้าวแตกจะวิ่งเข้าหาขอบกระจก และรอยร้าวดังกล่าวจะมีจำนวนไม่มาก ทำให้กระจกยังเป็นชิ้นใหญ่ๆ ซึ่งใหญ่กว่าการแตกร้าวของกระจกธรรมดา
5. กระจกฮีทสเตรงค์เท่นไม่แตกด้วยตัวเองแบบเดียวกับการแตกด้วยตัวเองของกระจกเทมเปอร์
1. กระจกฮีทสเตรงค์เท่นไม่สามารถตัด เจีย เจาะ บาก ได้
2. เนื่องด้วยกระจกฮีทสเตรงค์เท่นเป็นกระจกที่ผ่านกระบวนการความร้อนสูงขนาดที่กระจกนิ่ม จึงมีความระมัดระวังการเคลื่อนที่ของกระจกในเตาอบเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามกระจกก็ยังเป็นคลื่นและมีการโก่งตัวของกระจกเล็กน้อย หากต้องการความเรียบไม่มีคลื่นเลย เช่น กระจกเครื่องถ่ายเอกสาร ต้องใช้กระจกชนิดอื่น
3. กระจกฮีทสเตรงค์เท่นไม่สามารถใช้ทดแทนกระจกเทมเปอร์ได้ เพราะการรับแรงกระแทก แรงกด แรงบีบ น้อยกว่า และการที่กระจกฮีทสเตรงค์เท่นแตกเป็นชิ้นใหญ่ หากไม่มีกรอบรอบกระจกเมื่อแตกยังทำให้เกิดอันตรายอย่างรุนแรงได้
กระจกฮีทสเตรงค์เท่นสามารถรับแรงกระแทก แรงกด แรงอัด ได้ดีกว่ากระจกธรรมดา ดังนั้นในบางพื้นที่ที่ไม่จำเป็นต้องรับแรงกระแทก แรงกด แรงอัด สูงมาก อาจเลือกใช้กระจกฮีทสเตรงค์เท่นแทนที่จะใช้กระจกเทมเปอร์ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงของการแตกด้วยตัวเองของกระจกเทมเปอร์ แต่การเลือกใช้นั้นจำเป็นต้องทำการคำนวณให้ดีว่ากระจกฮีทสเตรงค์เท่นสามารถรับแรงได้จริง เพราะการรับแรงของกระจกฮีทสเตรงค์เท่นยังน้อยกว่ากระจกเทมเปอร์ถึงเท่าตัว และยังต้องคำนึงด้วยว่าหากกระจกแตกด้วยสาเหตุที่คาดไม่ถึง กระจกจะร่วงลงมาจนเกิดอันตรายอย่างรุนแรงหรือไม่
ความหนาที่สามารถผลิตกระจกฮีทสเตรงค์เท่น ได้ คือ 3, 4, 5, 6, 8, 10, 12 มิลลิเมตร
ขนาดเล็กสุดที่สามารถผลิตได้ คือ 180 X 180 มิลลิเมตร
ขนาดใหญ่สุดที่สามารถผลิตได้ คือ 2,800 X 6,000 มิลลิเมตร
หมายเหตุ: กระจกบางขึ้นอยู่กับวัตถุดิบ กรุณาสอบถามขนาดก่อนสั่งผลิต
1. กระจกฮีทสเตรงค์เท่นไม่สามารถตัด เจาะ เจีย บาก ได้ หลังการผลิตเป็นกระจกฮีทสเตรงค์เท่น ดังนั้นการวัดพื้นที่ จำเป็นต้องวัดอย่างระมัดระวัง และควรใช้หน่วยมิลลิเมตรในการวัดเพื่อความแม่นยำ การเผื่อหลวมจะช่วยให้การติดตั้งง่ายขึ้น แต่ต้องไม่หลวมจนกระจกหลุดจากคิ้ว
2. ไม่ควรใช้กระจกฮีทสเตรงค์เท่นเดี่ยวๆ เป็นหลังคา เพราะหากกระจกแตก กระจกจะร่วงลงมาโดนคนที่อยู่ข้างใต้ได้
3. ไม่ควรใช้กระจกฮีทสเตรงค์เท่นเดี่ยวๆ เป็นพื้นอาคาร เป็นพื้นสำหรับเดิน หรือเป็นขั้นบันได เพราะหากกระจกแตก ผู้เดินอยู่จะพลัดตกลงมาได้ รวมทั้งอาจเกิดอันตรายต่อผู้อยู่ด้านล่างเช่นกัน
4. การเลือกใช้กระจกฮีทสเตรงค์เท่นแทนกระจกเทมเปอร์ ต้องคำนวณการรับแรงให้ถี่ถ้วน รวมทั้งต้องคำนึงถึงการติดตั้งว่าจะเกิดอันตรายอย่างรุนแรงได้หรือไม่
5. ห้ามใช้กระจกฮีทสเตรงค์เท่นทดแทนกระจกกันไฟ เพราะกระจกฮีทสเตรงค์เท่นไม่สามารถกันไฟเพื่อความปลอดภัยต่อผู้อาศัย ตามข้อกำหนดของการกันไฟได้
การตรวจสอบว่ากระจกเป็นกระจกฮีทสเตรงค์เท่น
กระจกฮีทสเตรงค์เท่นมีปัญหาในการตรวจสอบเช่นเดียวกับกระจกเทมเปอร์ และสามารถใช้วิธีการตรวจสอบแบบเดียวกัน แต่ในกรณีทุบแตก กระจกฮีทสเตรงค์เท่นจะแตกโดยมีรอยร้าววิ่งเข้าหาขอบกระจก และไม่มีการแตกเป็นชิ้นเล็กๆบริเวณศูนย์กลางการแตก
การใช้ฟิล์มโพลาลอยด์ สามารถใช้ได้เช่นเดียวกัน เพราะฟิล์มโพลาลอยด์ทำให้เรามองเห็นเส้นแรงที่อยู่รอบกระจก ซึ่งเส้นแรงดังกล่าวมีทั้งในกระจกฮีทสเตรงค์เท่นและกระจกเทมเปอร์